หมวกกันน็อก ถือเป็นอุปกรณ์ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการจราจรที่สำคัญมากที่สุดสำหรับชาวสองล้อ แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่สิ่งนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ละเลยมากที่สุดเช่นกัน
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า หลาย ๆ คนยังไม่ทราบว่าประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุมากมายขนาดไหน มากจนทำให้ปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยขึ้นอันดับหนึ่ง “ประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดในโลก” และ 70 เปอร์เซ็นต์ของอุบัติเหตุทั้งหมดคือมอเตอร์ไซค์
วันนี้ เราจึงขอรวบรวมเหตุผลต่าง ๆ ที่จะทำให้ทุกคนเห็นว่า หมวกกันน็อก สำคัญขนาดไหนกับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ และจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร โดยเราหวังว่าทุกคนจะได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสวมใส่หมวกกันน็อกขณะขับขี่มากยิ่งขึ้น
การบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและพิการ
คุณรู้หรือไม่ว่าตามสถิติแล้ว การ ‘เสียชีวิต’ จากการใช้ยานพาหนะสองล้อ มีสาเหตุหลักจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ สูงถึง 88 เปอร์เซ็นต์ โดยประมาณ ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเลยทีเดียว และในประเทศไทยก็มีความนิยมของการใช้มอเตอร์ไซค์มากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแปลว่า อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุของชาวมอเตอร์ไซค์ก็มีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าหนทางที่จะทำให้สถิติเหล่านี้ลดลง ง่าย ๆ เพียงแค่ใส่ ‘หมวกกันน็อก’
การบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับศีรษะหากไม่สวมหมวกกันน็อก
ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่า ‘การบาดเจ็บของศีรษะจากอุบัติเหตุ’ เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงทำให้เกิดอาการกะโหลกร้าว สมองช้ำ หรือสมองบวม
ศีรษะของเราแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นผิวหนัง ชั้นกะโหลก และชั้นสมอง โดยที่รอบ ๆ สมองของเรา จะมีของเหลวหล่อเลี้ยงอยู่ เพื่อปกป้องสมองจากการกระแทก ในอุบัติเหตุ ส่วนมากศีรษะของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ มีโอกาสสูงที่จะไปกระแทกของแข็งอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ตัวกะโหลกหยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน แต่สมองที่ลอยตัวอยู่ในกะโหลกไม่เป็นอย่างนั้น มันจะเคลื่อนตัวไปกระแทกกับกะโหลกหลายต่อหลายครั้ง หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ‘สมองได้รับการกระทบกระเทือน’ ทำให้สมองได้รับบาดเจ็บ จนเกิดอาการช้ำ บวม หรือหากร้ายแรงมาก ๆ อาจจะทำให้กะโหลกศีรษะร้าวก็เป็นได้
หมวกกันน็อกทำงานอย่างไร
หมวกกันน็อก มีทั้งหมด 5 ส่วน ซึ่งในแต่ละส่วนก็จะมีหน้าที่ในการปกป้องศีรษะของเราแตกต่างกันไป
- ส่วนที่ 1: เปลือกหมวกกันน็อก (Outer Shell) – เปลือกหมวกกันน็อกจะทำหน้าที่รับแรงกระแทกแล้วกระจายไปรอบ ๆ เพื่อดูดซับแรงก่อนถึงศีรษะ
- ส่วนที่ 2: โฟมกันกระแทก (Impact Absorbing Liner) – ส่วนมากทำจากวัสดุ โพลีสเทอรีน นิยมเรียกกันว่า “Styrofoam” จะเป็นชั้นที่หนาที่สุด เพื่อดูดซึมแรงกระแทกไว้ โดยหมวกกันน็อกบางยี่ห้ออย่าง ‘H2C’ จะมีการดีไซน์โฟมกันกระแทกแบบ ‘Double Density’ ที่ทำให้รองรับแรงกระแทบได้มากยิ่งขึ้น
- ส่วนที่ 3: ฟองน้ำ (Comfort Padding) – หน้าที่ของมันคือทำให้สวมใส่ได้สบาย และทำให้หมวกกระชับกับศีรษะ ทำให้หมวกไม่หมุนหรือขยับระหว่างขับขี่หรือล้ม
- ส่วนที่ 4: หน้ากาก (Face Shield) – มีหน้าที่กันลมและเศษหินหรือวัสดุต่าง ๆ ไม่ให้กระทบหน้า ป้องกันการเกิดอาการตาอักเสบ จนอาจจะทำให้เกิด ‘ต้อลม’ ได้
- ส่วนที่ 5: สายรัดคาง (Chin Strap) – นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด แต่คนมักไม่ให้ความสำคัญ หลายคนชอบสวมใส่หมวกกันน็อกโดยไม่ติดสายรัดคาง ซึ่งอาจส่งผลให้หมวกกันน็อกกระเด็นหลุดออกจากศีรษะเราหากเกิดการกระแทก ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ยังมีอีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจ คือ ‘มีเด็กไทยจำนวนมากถึง 1.7 ล้านคนที่โดยสารโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์ แต่มีเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์หรือราว ๆ 1.2 แสนคนเท่านั้นที่สวมใส่หมวกกันน็อก’ และสาเหตุหลักมาจาก ผู้ปกครอง ไม่สวมใส่ให้ ซึ่งเรากำลังจะบอกว่า นอกจากคุณจะห่วงตัวของคุณเองแล้ว คนรอบข้างโดยเฉพาะลูกหลานของคุณก็ต้องได้รับความห่วงใยนี้อย่างทั่วถึงด้วย เพราะ ‘เด็กทุกคนมีความฝันและความฝันจะเป็นจริงไม่ได้ถ้าหากพวกเขาไม่ได้โต’
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไม เราจึงควรใส่หมวกกันน็อกทุกครั้งที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ว่าจะรีบ จะขับไป ใกล้-ไกล แค่ไหนก็ควรสวมหมวกกันน็อกทุกครั้ง และไม่ใช่แค่คุณแต่ผู้ที่ร่วมเดินทางไปกับคุณก็ต้องสวมใส่หมวกกันน็อกด้วย
เอ.พี. ฮอนด้า หวังว่าสถิติเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ทุกท่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสวมหมวกกันน็อกขณะที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ เพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก
ที่มา : www.thaihonda.co.th